ในปี 2014 นักวิจัยพบว่า คนเรามักคิดว่าปลาทองจำอะไรไม่ค่อยได้ สนใจอะไรน้อยเพียง 9 วินาที แต่ปรากฏว่าที่จริงแล้วมนุษย์สนใจอะไรเพียง 8 วินาที สั้นกว่าปลาทองเสียอีก!
การเรียนรู้เทคนิควิธีการจูงใจคนให้ได้ในเวลาอันรวดเร็วจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เราต้องเรียนรู้แนวทาง เทคนิค หรือวิธีการพูดเพื่อจูงใจให้คนฟังเปิดใจรับฟังคุณ สนใจและยอมรับข้อเสนอหรือความคิดของคุณ จนกระทั่งคล้อยตาม ซึ่งหนังสือเล่มนี้มีเทคนิควิธีการที่น่าสนใจ คือ หลักการ INTRIGUE โดยแต่ละตัวอักษรมีความหมายคือ I (Intro) N (New) T (Time-Efficient) R (Repeatable) I (Interact) G (Give) U (Useful) E (Examples) หนังสือเล่มนี้จะทำให้ผู้อ่านมีวิธีพูดกับคนและวิธีนำเสนองาน
เพื่อจูงใจคนฟังให้สนใจ ยอมรับ และคล้อยตามคุณได้ในเวลาอันรวดเร็ว
บทนำ หลักการ INTRIGUE คืออะไร และสำคัญอย่างไร
ส่วนที่ 1 ของหลักการ INTRIGUE I = Intro (สร้างบทนำที่น่าสนใจ) : "วิธีพูดเปิดฉากด้วยบทนำที่มัดใจคนฟังได้ตั้งแต่คำแรก"
ส่วนที่ 2 ของหลักการ INTRIGUE N = New (นำเสนอสิ่งแปลกใหม่) : แค่จริงยังไม่พอ แต่มันต้องแปลกใหม่ด้วย
ส่วนที่ 3 ของหลักการ INTRIGUE T = Time-Efficient (ใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพ) : ถ้าใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ คนฟังก็จะให้ความไว้วางใจ
ส่วนที่ 4 ของหลักการ INTRIGUE R = Repeatable (นำไปเล่าต่อได้) : ถ้าไม่เข้าใจ คนก็จะเอาไปเล่าต่อไม่ได้
ส่วนที่ 5 ของหลักการ INTRIGUE I = Interact (สร้างปฏิสัมพันธ์) : อย่าแค่บอกข้อมูล แต่จงสร้างปฏิสัมพันธ์
ส่วนที่ 6 ของหลักการ INTRIGUE G = Give (เป็นฝ่ายให้) : เป็นฝ่ายให้ความสนใจก่อน
ส่วนที่ 7 ของหลักการ INTRIGUE U = Useful (มีประโยชน์) : จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเป็นสิ่งที่ลงมือทำได้
ส่วนที่ 8 ของหลักการ INTRIGUE E = Examples (ยกตัวอย่าง) : อย่าเล่าเรื่อง แต่จงยกตัวอย่างในชีวิตจริงให้เขาฟัง
บทสรุปและแผนปฏิบัติการ : ขั้นต่อไปต้องทำอะไร